การหายใจแบบใช้ออกซิเจน (Aerobic respiration) ประกอบด้วย 4
ขั้นตอน คือ
1 ไกลโคลิซีส (Glycolysis)
2. การสร้างอะซิติลโคเอนไซม์
เอ หรือการออซิเดชัน กรดไพรูวิก (Pyruvate oxidation หรือ
Pyruvate
dehydrogenase complex pathway)
3. วัฏจักรเครบส์
(Krebs cycle)
4. การถ่ายทอดอิเล็กตรอน
(Electron transport system)
1.ไกลโคลิซิส(Glycolysis)
ไกลโคลิซิสเกิดในส่วนไซโทพลาสซึม (cytoplasm)
หรือไซโทซอล (cytosol) ของเซลล์
เป็นขั้นตอนการสลายน้ำตาลกลูโคสที่มีคาร์บอน 6
อะตอม (C6) ไปเป็นกรดไพรูวิก (pyruvic acid) หรือไพรูเวท
(pyruvate) ที่มีคาร์บอน 3
อะตอม (C3) ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจะมีทั้งหมด 10
ขั้นตอน มีเอนไซม์ชนิดต่าง ๆ เข้ามาช่วยเร่งปฏิกิริยา
กระบวนการไกลโคลิซิสสามารถสรุปเป็นขั้นตอนหลัก ๆ ได้ 3
ขั้นตอน คือ
ขั้นตอนที่ 1 น้ำตาลกลูโคส 1
โมเลกุล จะถูกสลายไปเป็นน้ำตาลฟรักโทส 1,6 บิสฟอสเฟต (fructose1,6-bisphosphate)
ในขั้นนี้จะมีการใช้ ATP 2
โมเลกุล มาเติมหมู่ฟอสเฟต (P) ให้กับน้ำตาลกลูโคส ได้เป็นน้ำตาล fructose
1,6-bisphosphate
ขั้นตอนที่ 2 น้ำตาล fructose1,6-bisphosphate ถูกเปลี่ยนไปเป็น
glyceraldehyde-3-phosphate และ dihydroxyacetate phosphate
ซึ่งสารตัวนี้ไม่เสถียรจะถูกเปลี่ยนเป็น glyceraldehyde-3-phosphate
หรือเรียกว่า PGAL (phosphoglyceraldehyde) ทำให้ ได้ PGAL 2
โมเลกุล
ขั้นตอนที่ 3 PGAL 2
โมเลกุลจะถูกเปลี่ยนแปลงเป็นขั้นตอนจนได้เป็นกรดไพรูวิก (pyruvic acid) หรือไพรูเวท
(pyruvate) 2 โมเลกุล ซึ่งในขั้นตอนที่มีการเปลี่ยนแปลงนี้จะมีการสร้าง
ATP ทั้งหมด 4
โมเลกุล และมีการสูญเสียอิเล็กตรอนทั้งหมด 4
อิเล็กตรอน โดยมี NAD+ ทำหน้าที่เป็นตัวรับอิเล็กตรอนเก็บไว้ในรูป NADH
เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอนต่อไป
2. การสร้างอะซิติลโคเอนไซม์
เอ
หรือการออกซิเดชันกรดไพรูวิก (Pyruvate oxidation
หรือ Pyruvate dehydrogenase
complex pathway) ขั้นตอนนี้เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างไกลโคลิซีสกับวัฎจักรเครบส์ มีกรดไพรูวิกเป็นสารตั้งต้นเกิดขึ้นที่ของเหลวในไมโทคอนเดรีย
โดยกรดไพรูวิกแต่ละโมเลกุลจะทำปฏิกิริยากับโคเอนไซม์ เอ (Co-enzyme A)ได้เป็น อะซิติลโคเอนไซม์ เอ (Acetyl Co A) ซึ่งแต่ละโมเลกุลมีคาร์บอน 2 อะตอม และคาร์บอนไดออกไซด์ 1โมเลกุล และมีการปล่อยไฮโดรเจน 2
อะตอม
โดยมี NAD+ (ตัวนำอิเล็กตรอน) มารับและเปลี่ยนไปเป็น NADH + H+ แล้วเข้าสู่กระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอน
3.วัฏจักรเครบส์ (Krebs Cycle)
วัฏจักรเครบส์ (Krebs cycle) หรือวัฏจักรกรดซิตริก
(Citric Acid Cycle) หรือ Tricarboxylic acid cycle (TCA) เกิดขึ้นที่บริเวณแมทริกซ์ของไมโทคอนเดรีย
สารตัวแรกที่ถูกสร้างขึ้นในวัฏจักรนี้คือ กรดซิตริก (citric acid) จึงเรียกว่าวัฏจักรกรดซิตริก
ขั้นตอนการเกิดปฏิกิริยา เริ่มจาก
1. acetyl CoA (2C) เข้ารวมกับออกซาโลแอซิเตต
(oxaloacetate : 4C) เกิดเป็นซิเตรต (citrate) หรือกรดซิตริก(citric
acid : 6C)
2. citric acid (6C) เปลี่ยนเป็น ไอโซซิเตรท (iso-citrate
: 6C)
3. iso-citrate (6C) เปลี่ยนเป็น alpha-ketoglutarate
(5C) ขั้นนี้เกิด CO2 1
โมเลกุล และ NADH 1 โมเลกุล
4. alpha-ketoglutarate (5C) เปลี่ยนเป็นซัคซินิล โคเอนไซม์ เอ (succinyl
CoA : 4C) ขั้นนี้เกิด CO2 1
โมเลกุล และ NADH 1 โมเลกุล
5. succinyl CoA (4C) เปลี่ยนเป็นกรดซัคซินิค (sucinic
acid : 4C) ขั้นนี้มีการสร้างพลังงาน ATP 1
โมเลกุล
6. succinic acid (4C) เปลี่ยนเป็นกรดฟูมาริค (fumaric
acid : 4C) ขั้นนี้เกิด FADH2 1
โมเลกุล
7. fumaric acid (4C) เปลี่ยนเป็นกรดมาลิค (malic
acid : 4C) ขั้นนี้ใช้น้ำ (H2O) ร่วมในปฏิกิริยา
1 โมเลกุล
8. malic acid (4C) เปลี่ยนเป็นกรดออกซาโลอะซีติก (oxaloacetic
acid) ขั้นนี้เกิด NADH 1 โมเลกุล
4.การถ่ายทอดอิเล็กตรอน (Electron
transport chain)
การถ่ายทอดอิเล็กตรอน (electron
transport chain : ETC) เกิดขึ้นที่เยื่อหุ้มชั้นในของไมโทคอนเดรียตรงส่วนที่เรียกว่า
คริสตี (cristae) โดยจะเกิดขึ้นเป็นทอด ๆ ผ่านตัวนำอิเล็กตรอน
ซึ่งเป็นกลุ่มของโปรตีน (protein complex) ที่ฝังตัวอยู่บนเยื่อหุ้มชั้นใน
ของไมโทคอนเดรีย กลุ่มโปรตีนเหล่านี้ ได้แก่ complex I, II, III และ
IV ลำดับของการถ่ายทอดอิเล็กตรอนแสดงไว้ ดังภาพที่
5 นอกจากกลุ่มโปรตีน 4 กลุ่มนี้แล้ว
บนเยื่อหุ้มชั้นในของไมโทคอนเดรียยังมี โคเอนไซม์ Q และไซโตโครม
c ซึ่งสามารถเคลื่อนที่ได้เพื่อช่วยในการถ่ายทอดอิเล็กตรอนระหว่างกลุ่มโปรตีนเหล่านั้น
เมื่ออิเล็กตรอนถูกส่งไปยังตัวรับตัวสุดท้ายก็จะมีออกซิเจน (O2) มาทำหน้าที่รับอิเล็กตรอนเป็นตัวสุดท้าย
ได้ผลิตภัณฑ์เป็นน้ำ (H2O)
ผนังชั้นในของไมโตคอนเดรียมีกลุ่มโปรตีนที่เรียก
ATP synthase อยู่เป็นจำนวนมาก ATP synthase เป็นเอนไซม์ที่ประกอบด้วยหน่วยย่อยหลายหน่วย
กลุ่มหนึ่งของหน่วยย่อยทำหน้าที่เป็นช่องให้โปรตอนผ่าน
อีกกลุ่มหนึ่งทำหน้าที่จับกับ ADP และ Pi เพื่อสร้าง
ATP การส่งอิเล็กตรอนต่อเป็นทอด ๆ
ในระบบถ่ายทอดอิเล็กตรอน
ทำให้เกิดการสูบโปรตอนจากข้างในแมทริกซ์ผ่านเยื่อหุ้มชั้นใน
ส่งผลให้ความเข้มข้นของโปรตอนในสองข้างของเยื่อหุ้มต่างกัน
คือทางด้านแมทริกซ์จะต่ำและทางด้านช่องว่างระหว่างเยื่อหุ้ม (intermembrane
space) จะสูง และเกิดความต่างศักย์ที่เยื่อหุ้ม
โดยทางด้านแมทริกซ์จะเป็นลบ ทางด้านช่องว่างระหว่างเยื่อหุ้มเป็นบวก
แรงที่เกิดจากความต่างศักย์ที่เยื่อหุ้มและความแตกต่างของความเข้มข้นของโปรตอน
จะรวมกันเกิดเป็นแรงขับเคลื่อนโปรตอน
เพื่อนำโปรตอนผ่านเยื่อหุ้มชั้นในกลับไปยังแมทริกซ์ โดยมี ATP synthase ทำหน้าที่เป็นช่องทางผ่าน
การผ่านของไฮโดรเจนอิออนทำให้เกิดพลังงานที่ช่วยผลักดันให้เกิดการสร้าง ATP
โดยการรวมตัวของ ADP กับฟอสเฟตโดยการควบคู่พลังงาน
พลังงานเหล่านั้นนำไปสังเคราะห์ ATP
กระบวนการนี้จึงเกี่ยวข้องกับสาร 2
ประเภท คือ
1. สารที่เป็นตัวนำอิเล็กตรอน
2. สารที่เป็นตัวรับพลังงานจากการถ่ายทอดอิเล็กตรอน
สารที่เป็นตัวนำอิเล็กตรอน
ในการสลายโมเลกุลของสารอาหาร
อิเล็กตรอนจะหลุดออกมาจากโมเลกุลของสารอาหารพร้อมด้วยโปรตอนในรูปอะตอมของไฮโดรเจน ตัวนำอิเล็กตรอนบางชนิดสามารถรับอิเล็กตรอนพร้อมด้วยโปรตอน
แต่ตัวนำอิเล็กตรอนบางชนิดรับเฉพาะอิเล็กตรอน
ไม่ว่าจะเป็นการรับในรูปของอะตอมไฮโดรเจนหรือรับเฉพาะอิเล็กตรอนก็ตาม
การรับอิเล็กตรอนทำให้ตัวอิเล็กตรอนถูกรีดิวซ์ เช่น
สารที่เป็นตัวนำอิเล็กตรอน
คือ
นิโคตินาไมด์
อะดีนีน ไดนิวคลีโอไทด์(NAD+
)สามารถรับได้ทั้งโปรตอนและอิเล็กตรอน ดังสมการ
NAD+ + 2H+ +
2e- " NADH
+ H+
ฟลาวิน
อะดีนีน ไดนิวคลีโอไทด์ (FAD) รับได้ทั้งโปรตอนและอิเล็กตรอน ดังสมการ
FAD + 2H+
+ 2e- "
FADH2
อ่านเพิ่มเติม http://www.bs.ac.th/2548/e_bs/G3/sumalee2/page.htm
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น